ความแตกต่างของคำว่า Class ในเพาเวอร์แอมป์…?
การออกแบบวงจรเพาเวอร์แอมป์ส่วนใหญ่…ผู้ออกแบบเลือกที่จะนำ ”Class” ที่เหมาะสมมาใช้ในการทำงาน…ลองมาดูกัน…ว่าเพาเวอร์แอมป์ในแต่ละ ”Class” มีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างไร…
เพาเวอร์แอมป์ Class A : ถือ เป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีคุณภาพของเสียงสูงสุด…แต่การใช้งานส่วนใหญ่ไม่ค่อย เหมาะสมกับระบบเสียงในรถยนต์นัก…เพราะการให้ประสิทธิผลสูงนั้น…ก็ตามมา ด้วยการให้ความร้อนที่สูงตามมาด้วย… เพาเวอร์แอมป์ Class A ที่ใช้ในระบบเสียงรถยนต์ส่วนใหญ่…จึงมักจะออกแบบให้มีการผสมผสานกันระหว่าง Class A / Class AB เพื่อความเหมาะสม..
เพาเวอร์แอมป์ Class AB : เป็น Class ที่ นำมาใช้ในเพาเวอร์แอมป์รถยนต์ส่วนใหญ่…เพราะมีสัดส่วนของประสิทธิผลที่ผสม ผสานกันได้ดี…มีความผิดเพี้ยนต่ำ…และให้ความน่าเชื่อถือสูง…
เพาเวอร์แอมป์ Class D : ซึ่งคำว่า D อาจมิได้หมายถึง Digital…โดยเพาเวอร์แอมป์ Class D นี้จะเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีประสิทธิผลสูงมาก…เกิดความร้อนต่ำมาก…และให้จำนวนกระแสที่ไหลผ่านได้มากกว่าแอมป์ที่ออกแบบเป็น Class AB… แต่ก็ยังมีแนวโน้มเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีความเพี้ยนสูงมาก…โดยเฉพาะความผิดเพี้ยนทางย่านความถี่สูง…ที่ยังไม่มีวิธีขจัดออกไป…อย่างไรก็ตามจะพบว่า…เพาเวอร์แอมป์ Class D โดย ส่วนมากจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่… และมักจะใช้เป็นเพาเวอร์แอมป์ขับเฉพาะความถี่ต่ำลึก…หรือซับวูฟเฟอร์… แทนที่จะใช้ขับเสียงกลาง/แหลม…
เพาเวอร์แอมป์ Class T : เป็นเพาเวอร์แอมป์ที่รวมเอาคุณสมบัติของการขยายแบบ Class AB และการออกแบบสมัยใหม่อย่าง Class D มารวมเข้าไว้ด้วยกัน…จึงทำให้มีอัตราขยายได้มาก…มีขนาดกะทัดรัด… และมีความร้อนในระดับต่ำ… อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ขับเสียงกลาง/แหลมได้ด้วย…